วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ข้อชี้ขาดเรื่องเวลาละหมาดของแต่ละประเภท

ข้อชี้ขาดเรื่องเวลาละหมาดของแต่ละประเภท 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ละหมาด


 ประเภทที่หนึ่ง
 ต้องละหมาดตามเวลาที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
ประเภทที่สาม
 ต้องใช้การคำนวณ โดยไม่มีความเห็นขัดแย้ง  โดยใช้การเปรียบเทียบการคำนวณที่ถูกกล่าวถึงในหะดีษที่เกี่ยวข้องกับดัจญาล ซึ่งในตอนหนึ่งคือ :
«قُلنَا: يَا رَسُولَ اللّه، وَمَا لَبِثَه فِي الأرضِ؟ أَي الدَجَّال. قَال: "يَوْم كَسَنَة"، قُلْنَا: يَا رَسُولَ اللّه، هَذا اليَوْمُ الذِّي كَسَنَة أَتَكْفِيْنَا فِيْهِ صَلَاة يَوْم وَلَيْلَة؟ قَال: "لَا. اقْدُروا لَه قَدْرَه »
“พวกเรากล่าวว่า โอ้เราะสูลของอัลลอฮฺ ดัจญาลจะอยู่นานเท่าไร ? ท่านตอบว่า วันหนึ่ง ซึ่งเท่ากับหนึ่งปี  พวกเรากล่าวว่า โอ้เราะสูลของอัลลอฮฺ วันที่เท่ากับหนึ่งปีนั้นเพียงพอไหมที่ เราจะละหมาดแค่ห้าเวลา ท่านตอบว่า ไม่ พวกท่านจงคำนวณเวลาละหมาด”(บันทึกโดย มุสลิม2937, อัตติรมิซีย์2240, อบูดาวูด 4321, อิบนุมาญะฮฺ4075,และอะหมัด 4/182)

  ผู้รู้มีความเห็นต่างกันในวิธีการคำนวณเวลาละหมาด บางทัศนะเห็นว่าใช้เวลาของประเทศที่ใกล้เคียงมากที่สุด ที่สามารถแยกแยะระหว่างกลางคืนกับกลางวันได้ และรับรู้เวลาละหมาดได้ตามสัญลักษณ์ที่ศาสนาบัญญัติ 
 และหวังว่านี่คือทัศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุด และบางทัศนะเห็นว่า ใช้เวลาสากลในการคำนวณ โดยให้นับกลางวันสิบสองชั่วโมง และกลางคืนก็เช่นเดียวกัน  และบางทัศนะเห็นว่าใช้เวลาของเมืองมักกะฮฺ หรือเมืองมะดีนะฮฺ
สำหรับประเภทที่สอง ก็เหมือนกับประเภทที่หนึ่ง  นอกจากละหมาดอิชาอ์กับศุบห์ ส่วนละหมาดอิชาอ์และศุบห์นั้น ก็เหมือนกับประเภทที่สามในการใช้วิธีคำนวณ 

การละหมาด

การละหมาด 
الصلاة 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

การละหมาดหลักการที่สองในอิสลาม 
1. คำนิยาม  
 เชิงหลักภาษา คือ การขอพร (ดุอาอ์ 
ดังโองการที่ว่า
﴿خُذْ مِنْ أَمْوَالِهِمْ صَدَقَةً تُطَهِّرُهُمْ وَتُزَكِّيهِمْ بِهَا وَصَلِّ عَلَيْهِمْ﴾ [التوبة : 103]
“เจ้าจงเอาส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินของพวกเขาเป็นทานบริจาค เพื่อชำระพวกเขา ( จากความผิด) และขัดเกลาพวกเขา และจงขอพรแก่พวกเขา (ให้ได้รับการอภัยโทษ)”(อัตเตาบะฮฺ103)

เชิงวิชาการ 
คือถ้อยคำและการปฏิบัติที่ถูกกำหนดเฉพาะตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนด ซึ่งเริ่มด้วยคำว่า “อัลลอฮุอักบัร”และเสร็จสิ้นด้วยคำว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม”

2. การบัญญัติละหมาด 
การละหมาดถูกบัญญัติขึ้นในค่ำคืนอิสรออ์มิอฺรอจญ์ (การเดินทางสู่ฟากฟ้าของท่านเราะสูล)ก่อนที่จะอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งเป็นหนึ่งจากองค์ประกอบหลักของอิสลาม หลังจากคำปฏิญาณตน เพราะอยู่ภายใต้เนื้อหาของคำปฏิญาณ และเป็นสิ่งแรกที่ถูกกำหนดหลังจากที่ปฏิญาณตน 
«رَأْسُ الأَمْرِ الإِسْلَامُ، وَعَمُودُهُ الصَّلَاةُ، وَذِرْوَةُ سَنَامِهِ الجِهَادُ»
“รากฐานของศาสนา คือการปฏิญาณตน เสาคือละหมาด และสัญลักษณ์ (โดมหรือธง ) คือการเสียสละต่อสู้ (ญิฮาด) ในหนทางแห่งอัลลอฮฺ”(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์ เลขที่ 2616,  อิบนุมาญะฮฺเลขที่ 3973 และอะหมัด231/5)

3.เหตุผลการบัญญัติละหมาด 
 การละหมาดเป็นการขอบคุณในความโปรดปรานต่างๆ ที่อัลลอฮฺทรงให้แก่ปวงบ่าว และเป็นการเคารพภักดีที่มีความหมายอันเด่นชัดที่สุด เนื่องจากประจักษ์ถึงการมุ่งหน้าไปยังอัลลอฮฺ นอบน้อมและคารวะต่อพระองค์ และใกล้ชิดพระองค์ด้วยการอ่านบทรำลึกและบทขอพร
อีกทั้งยังเป็นการสื่อสาร ระหว่างบ่าวกับพระผู้อภิบาลของเขา และเป็นการก้าวผ่านจากโลกแห่งวัตถุสู่ความสงบและความบริสุทธิ์ของจิตใจ เพราะทุกครั้งที่บ่าวหมกมุ่นกับความวุ่นวายของชีวิตและสิ่งยั่วยวนในโลกนี้  การละหมาดจะยั้งเขาไว้ ก่อนที่เขาจะจมลงไป  และนำเขากลับสู่แก่นแท้ของชีวิต ซึ่งเขาได้เผลอไป  และขณะเดียวกันก็รู้ว่า แท้จริง ณ โลกหน้านั้น มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ และแท้จริงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะใช้ชีวิตโดยไม่มีการตระเตรียมเสบียง

4. ข้อชี้ขาดเกี่ยวกับการละหมาดและจำนวน 
 การละหมาดมี  2  ประเภท ภาคบังคับ และภาคสมัครใจ  
 ภาคบังคับมี 2 ประเภท  คือ บังคับรายบุคคล และบังคับโดยรวม

ภาคบังคับรายบุคคล
คือ บังคับทุกคนที่เป็นมุสลิม ทั้งชายและหญิง ซึ่งบรรลุศาสนภาวะ  นั่นคือละหมาดห้าเวลา
﴿إِنَّ الصَّلَاةَ كَانَتْ عَلَى الْمُؤْمِنِينَ كِتَابًا مَّوْقُوتًا﴾[النساء : 103]
“แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นบัญญัติที่ถูกกำหนดเวลา ไว้แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย”(อันนิสาอ์,103)

﴿وَمَا أُمِرُوا إِلَّا لِيَعْبُدُوا اللَّهَ مُخْلِصِينَ لَهُ الدِّينَ حُنَفَاءَ وَيُقِيمُوا الصَّلَاةَ وَيُؤْتُوا الزَّكَاةَ ﴾ [البينة : 5]
“และพวกเขามิได้ถูกบัญชาให้กระทำอื่นใดนอกจากเพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่อพระองค์เป็นผู้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงและดำรงการละหมาด และจ่ายซะกาต”(อัลบัยยินะฮฺ,5)

«بُنِيَ الإِسْلامُ عَلَى خَمْسٍ: شَهَادَة أَنْ لَا إِله إِلّا اللَّه وَأَنْ مُحَمّدًا رَسُوْلُ اللّهِ، وإِقَامِ الصَّلاة، وَإِيْتَاءِ الزَّكَاة ... إلخ»
“อิสลามถูกวางอยู่บนโครงสร้าง 5 ประการหนึ่ง การปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพภักดีโดยแท้จริงนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และมุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และ จ่ายซะกาต ... (จนจบหะดีษ)”(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ 8, มุสลิม 16,  อัตติรมิซีย์ 2609)


นาฟิอ์ บิน อัซร็อก กล่าวแก่ อิบนิอับบาส ว่า “ละหมาดห้าเวลาถูกระบุไว้ในอัลกุรอานหรือไม่? อิบนุอับบาสกล่าวว่า ใช่ถูกกล่าวไว้ แล้วก็อ่าน 
﴿فَسُبۡحَٰنَٱللَّهِحِينَتُمۡسُونَوَحِينَتُصۡبِحُونَ١٧وَلَهُٱلۡحَمۡدُفِيٱلسَّمَٰوَٰتِوَٱلۡأَرۡضِوَعَشِيّٗاوَحِينَتُظۡهِرُونَ١٨﴾ [الروم : 17-18]
“จงสดุดีต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิดโอ้บรรดาผู้ศรัทธาเมื่อเข้าสู่ยามเช้าและยามเย็นและสำหรับพระองค์นั้นคือการสรรเสริญในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและจงสดุดีเมื่อยามพลบค่ำและเมื่อยามบ่าย”(อัรรูม17-18)
และหะดีษอาหรับชนบทคนหนึ่งซึ่งมาหาท่านเราะสูล แล้วกล่าวว่า   “ละหมาดใดที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติแก่ฉัน ? ท่านเราะสูลตอบว่า “ละหมาดห้าเวลาเขาถามต่อว่า “ยังมีละหมาดอื่นอีกไหม?” ท่านเราะสูลกล่าวว่า “ไม่ นอกจากท่านจะสมัครใจเท่านั้น”(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์ 1792, และมุสลิม 17)
5. การละหมาดของผู้เยาว์  
  เมื่อเด็กอายุครบเจ็ดปีต้องสั่งใช้ให้ละหมาด และจะถูกลงโทษ (เนื่องจากการละเลย)โดยการตี (ตีไม่แรง เพื่อเป็นแค่การสำทับตักเตือน) เมื่ออายุครบสิบปี เนื่องจากหะดีษ
«مُرُوا أَبْنَاءَكُم بِالصَّلاةِ لِسَبْعِ سِنِيْنَ وَاضْرِبُوْهُمْ عَلَيْهَا لِعَشْرِ سِنِيْنَ، وَفَرِّقُوا بَيْنَهُم فِي المَضَاجِعِ»
“จงสั่งใช้ลูกๆของพวกเจ้าให้ละหมาดเมื่ออายุครบเจ็ดปี และจงลงโทษโดยการเฆี่ยนตีเมื่ออายุครบสิบปี และจงแยกที่นอนระหว่างพวกเขา”(บันทึกโดย อบูดาวูด 495,  และอัตติรมิซีย์ และอะหมัด 2/178)

6. ข้อชี้ขาดเกี่ยวกับผู้ที่ปฏิเสธว่าการละหมาดเป็นบัญญัติที่บังคับ  
บุคคลใดปฏิเสธว่าการละหมาดไม่ใช่ข้อบังคับจำเป็น  เขาย่อมเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา แม้ว่าเขาได้ละหมาดก็ตาม หากว่าเขามิใช่ผู้ที่ขาดความรู้ (ญาฮิล)
     และจะเป็นกาฟิรเช่นเดียวกัน  ผู้ที่ละทิ้งละหมาดเพราะไม่เอาใจใส่ หรือเกียจคร้าน แม้ว่าเขายอมรับว่าการละหมาดเป็นบัญญัติบังคับก็ตาม
﴿فَإِنْ تَابُوا وَأَقَامُوا الصَّلَاةَ وَآتَوُا الزَّكَاةَ فَخَلُّوا سَبِيلَهُمْ إِنَّ اللَّهَ غَفُورٌ رَحِيمٌ﴾ [التوبة : 5]
“ต่อมาหากพวกเขาสำนึกผิด (โดยกลับตัวจากการปฏิเสธ) และดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและบริจาคทาน พวกเจ้าจงปล่อยพวกเขาไป แท้จริงอัลลอฮฺทรงอภัย ทรงเมตตายิ่ง”(อัตเตาบะฮฺ5)
และหะดีษ จากญาบิร
«بَيْنَ الرَّجُل وَبَيْنَ الشِّركِ وَالكُفْرِ تَركُ الصَّلاة»
“ระหว่างผู้ที่เป็นมุสลิมและผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น คือการละทิ้งละหมาด” (บันทึกโดย มุสลิม82, อัตติรมิซีย์ 2620, อบู ดาวูด4678, อิบนุมาญะฮฺ1078, อะหมัด3/370, และอัดดาริมีย์ 1233)

7. รุก่น(องค์ประกอบหลัก) ของการละหมาด 
    มี 14 ประการ  จะละเลยมิได้ ไม่ว่าเจตนา สะเพร่า หรือขาดความรู้ก็ตาม
    1. ยืนตรง สำหรับผู้ที่มีความสามารถ (เฉพาะละหมาดฟัรฎู)
    2. ตักบีรฺอตุลอิหฺรอม (เข้าพิธีละหมาดด้วยการกล่าวว่า อัลลอฮุอักบัรฺ)และจะใช้ถ้อยคำอื่นมิได้
    3. อ่านสูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺ
    4. รุกูอ์ (ก้มศีรษะ)
    5. เงยศีรษะจากการรุกูฮฺ และยืนตรง
    6. สุญูด  (ก้มกราบ)
    7.  ยกศีรษะขึ้นจากการสุญูด
    8.  การนั่งระหว่างสองสุญูด
    9.  ฏุมะนีนะฮฺ (ทำอย่างสงบนิ่งมีจังหวะไม่รีบร้อนผลีผลาม)
    10.  การอ่านตะชะฮุดครั้งสุดท้าย
    11. การนั่งเพื่ออ่านตะชะฮุดครั้งสุดท้าย
    12.  เศาะลาวาต (การกล่าวคำขอพรแก่ท่านเราะสูลและวงศาคณาญาติ)
    13. การกล่าวคำสลามสองครั้ง (คือ อัสสะลามุอะลัยกุม วะเราะมะตุลลอฮฺ) และทางที่ดีไม่ควรเพิ่มคำว่า “วะบะรอกาตุฮฺ”
เนื่องจากหะดีษ จากอิบนิมัสอูด
«أنَّالنَبِي صلى الله عليه وسلم كان يُسَلِّم عَنْ يَمِيْنِه: السَّلامُ عَلَيْكُم وَرَحْمَةُ اللّهِ، وَعَنْ يَسَارِهِ السَّلامُ عَلَيْكُم وَرَحْمَةُ اللّه »
“แท้จริงท่านเราะสูลกล่าวสลามข้างขวาและข้างซ้ายด้วยคำว่า อัสสะลามุอะลัยกุมวะเราะมะตุลลอฮุ”(บันทึกโดย มุสลิม  อัตติรมิซีย์ 295,อบู ดาวูด996,  อิบนุมาญะฮฺ914, และอะหมัด 1/409)
14. การเรียบเรียงตามลำดับระหว่างรุก่นต่างๆ

8. สิ่งที่เป็นวาญิบของการละหมาด มี 8 ประการ  
 วาญิบคือ สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติ หากละทิ้งโดยเจตนา การละหมาดจะเป็นโมฆะ และเป็นที่อนุโลม หากเกิดจากความสะเพร่าหรือไม่รู้
1. การกล่าวคำตักบีรฺ อื่นจากตักบีรฺเข้าพิธีละหมาด (ตักบีรฺในการเปลี่ยนอิริยาบท)
2. การกล่าวคำว่า สะมิอัลลอฮุลิมันหะมิดะฮฺ สำหรับผู้ที่เป็นอิมาม และผู้ที่ละหมาดคนเดียว
3. การกล่าวคำว่า ร็อบบะนา วะละกัลหัมดุ
4.  กล่าวคำตัสบีห์หนึ่งครั้งในขณะรุกูอ์ (สุบหานะร็อบบิยัลอะซีม)
5. กล่าวตัสบีห์หนึ่งครั้งในขณะสุญูด (สุบหานะร็อบบิยัลอะลา)
6. กล่าวคำว่า “ร็อบบิฆฟิรลี” ระหว่างสองสุญูด
7. การอ่านตะชะฮุดครั้งแรก
8.  การนั่งเพื่ออ่านตะชะฮุดครั้งแรก

9. เงื่อนไขของการละหมาด 
เงื่อนไขตามหลักภาษา คือ เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์  
 และในทางบทบัญญัติ คือ สิ่งที่มีผลผูกพันให้สิ่งอื่นมีความถูกต้องหรือสมบูรณ์
1.  การตั้งเจตนาละหมาด
2. เป็นมุสลิม
3. มีสติสัมปชัญญะ
4. รู้เดียงสา (บรรลุวัยที่สามารถแยกแยะเรื่องต่างๆ ได้)
5. เข้าเวลาละหมาด
6. มีน้ำละหมาด (ปราศจากหะดัสเล็กและหะดัสใหญ่)
7. ผินหน้าไปทางกิบละฮฺ (กะอฺบะฮฺ)
8. ปกปิดเอาเราะฮฺ (ส่วนของร่างกายที่ต้องปกปิดตามบทบัญญัติ)
9. สะอาดจากสิ่งปฏิกูล (นะญิส)

10. เวลาละหมาด  
คือกรอบเวลา เพราะเวลานั้นเป็นสาเหตุที่จำเป็นต้องละหมาด และเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้ละหมาดถูกต้องใช้ได้
  มีหะดีษหลายๆบท ซึ่งท่านเราะสูลได้กำหนดเวลาละหมาด เช่น จาก อิบนิอับบาส กล่าวว่า
“ท่านเราะสูลกล่าวว่า “ญิบรีลได้นำละหมาดฉัน ณ กะอฺบะฮฺ สองครั้ง(ในสองวัน) และได้กล่าว (ระบุ) ถึงเวลาละหมาดต่างๆ หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า “แล้วญิบรีลได้หันมายังฉัน พลางกล่าวว่า โอ้มุหัมมัด เวลาละหมาดนี้เหมือนเวลาละหมาดของบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเจ้า เวลาละหมาดนั้น อยู่ระหว่างละหมาดทั้งสองนี้”(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์148,อบู ดาวูด393, และอะหมัด 1/333)

  เวลาละหมาดทั้งห้านั้นถูกแบ่งระหว่างกลางวันและกลางคืน เมื่อมนุษย์ได้นอนพักผ่อน เขาย่อมมีความกระฉับกระเฉง และเมื่อถึงเวลาเช้า คือเวลาทำงาน ก็มีละหมาดศุบห์ (ยามรุ่งอรุณ) เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขามีความแตกต่างกับสรรพสิ่งอื่นๆ  และเพื่อต้อนรับวันใหม่โดยที่เขาได้เตรียมเสบียงแห่งความศรัทธา 
  และเมื่อเที่ยงวัน เขาจะหยุดพักจากการทำงาน เพื่อเขาได้ใช้เวลาพิจารณา ใคร่ครวญมุ่งหน้าสู่ ผู้อภิบาลของเขา โดยการละหมาดซุฮรฺ  และได้ปรับปรุงสิ่งที่เขาได้ทำในช่วงเช้า แล้วเมื่อเข้าสู่ยามบ่ายของวัน เขาจะละหมาดอัศริจากนั้น  เมื่อเวลาพลบค่ำและค่ำคืน   ก็ละหมาดมัฆริบและอิชาอ์ ซึ่งละหมาดทั้งสองนี้ เป็นแสงสว่างและทางนำจะนำพาเขาในยามค่ำคืน ซึ่งเป็นที่เงียบสงัดไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง
 เช่นกัน การละหมาดในเวลาต่างๆเป็นโอกาสในการใคร่ครวญในอำนาจและความประณีตของอัลลอฮฺ ที่มีต่อสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ในยามกลางวันและกลางคืน 
เวลาละหมาดซุฮริ 
เริ่มเข้าเวลาเมื่อตะวันคล้อย(จากตรงกลางของฟ้า ซึ่งรับรู้ได้โดยมันจะมีความยาว จากที่มันสั้นก่อนนั้น (เที่ยงวัน)   และหมดเวลาเมื่อเงาของสิ่งต่างๆมีความยาวเท่ากับตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เงาตอนที่ตะวันกำลังจะคล้อย (หลักการคือ จะรับรู้ถึงเงาของสิ่งที่ตะวันได้คล้อยผ่าน จากนั้นก็สังเกตปริมาณที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีปริมาณเท่าตัว เวลาซุฮริก็หมด )
เวลาละหมาดอัศริ  
เริ่มเข้าเวลา เมื่อ เงาของสิ่งต่างๆมีความยาวเท่ากับตัวเอง (ไม่นับตอนที่ตะวันกำลังคล้อย) และจะหมดเมื่อ เงาของสิ่งหนึ่งมีความยาวสองเท่าตัว (นี่คือเวลาปกติ) และเมื่อตะวันลับขอบฟ้า  (เวลาคับขัน)
เวลาละหมาดมัฆริบ  
เริ่มเข้าเวลาเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  จนกระทั่งดวงดาวเต็มท้องฟ้า (ดาวประสานกัน เห็นได้เพราะมืด) และเวลาสุดท้าย แต่น่ารังเกียจ เมื่อเมฆสีแดงหายหมดไป
เวลาละหมาดอิชาอ์ เริ่มเมื่อเมฆสีแดงหมดไป จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน
เวลาละหมาดศุบห์ หรือฟัจญ์รฺเริ่มเข้าเวลาเมื่อแสงอรุณขึ้น จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น
11.  การกำหนดเวลาละหมาดในประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร (ขั้วโลกเหนือ)  
ประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนสูตรมี สูงแบ่งออกเป็น สามประเภท  
หนึ่ง ประเทศที่อยู่ระหว่าง45 และ 48 องศา เหนือ และใต้  ประเทศเหล่านี้ เครื่องหมายบอกเวลาละหมาดจะปรากฏชัด ไม่ว่ากลางคืนและ กลางวันจะสั้นหรือยาว
สองประเทศที่อยู่ระหว่างเส้น 48 และ 66 องศาเหนือและใต้  ประเทศเหล่านี้จะไม่มีสัญลักษณ์บอกเวลาละหมาดในบางช่วงของปี เช่น เมฆสีแดงจะไม่หายไปจนกว่าจะเข้าเวลาละหมาดศุบห์  
สาม ประเทศที่อยู่เหนือเส้น 66 องศาเหนือและใต้ และสัญญาณเวลาละหมาดไม่ปรากฏเป็นระยะเวลานานของปี ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวัน  

วิธีละหมาดกอซ้อรและญะเมาะอ์ตั๊กดีมโดยอัสริรวมกับดุฮ์ริ

วิธีละหมาดกอซ้อรและญะเมาะอ์ตั๊กดีมโดยอัสริรวมกับดุฮ์ริ
1. เมื่อถึงเวลาละหมาดดุฮ์ริ ให้ละหมาดดุฮ์ริ 2 ร่อกะอัต โดยเนียตว่า
การละหมาดวันศุกร์  (ความสำคัญ - ผลบุญ)
อ่านว่า " อุซ้อลลีฟัรด๊อลดุฮ์ริ ร๊อกอะไตนี่ ก๊อซรอน มัจญ์ มูอันอิลั้ลอัสรี่ อะดาอัน ลิ้ลลาฮี่ตะอาลา "
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูดุฮ์ริ 2 ร่อกะอัตโดยก้อซ้อรมารวมกับอัสริ ในเวลาเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา
เมื่อละหมาดเสร็จและให้สลามแล้วจึงควรลุกขึ้นละหมาดอัสริต่อไปโดยเนียตว่า
การละหมาดวันศุกร์  (ความสำคัญ - ผลบุญ)
อ่านว่า " อุซ้อลลี ฟัรด็อลอัสริ ร๊อกอะไตนี่ ก็อซรอน มัจญ์ มูอันอิลัดดุฮ์ริ อะดาอัน ลิ้ลลาฮี่ตะอาลา "
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูอัสริ 2 ร่อกะอัต โดยก้อซ้อรไมรวมกับดุฮ์ริ ในเวลา เพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา
ส่วนการละหมาดอิซารวมกับละหมาดมักริบในเวลามักริบนั้นก็ใช้วิธีเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนการเนียตว่า ละหมาดมักริบโดยก้อซ้อร์ รวมกับอิซาแล้วละหมา 3 ร่อกะอัต จึงให้สลาม แล้วจึงเนียตละหมาดอิซา โดยก้อซ้อรรวมกับมักริบ แล้วละหมาด 2 ร่อกะอัต จึงให้สลาม



>> 2.2 ญะเมาะอ์ตะอคีร (การรวมในเวลาหลัง)
มีเงื่อนไขดังนี้
  1. ต้องเนียตในเวลาของละหมาดแรก คือต้องเนียตในเวลาของดุฮ์ริว่าจะเอาละหมาดดุฮ์ริไปทำรวมกับละหมาดอัสริหรือต้องเนียต ในเวลาของมักริบว่าจะเอาละหมาดมักริบไปทำรวมกับละหมาดอิซา
  2. ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับการละหมาดและไม่ต้องละหมาดติดต่อกัน
  3. การเดินทางต้องไม่ถึงจุดหมายก่อนเสร็จการละหมาดทั้งสอง
วิธีละหมาดก้อซ้อรและญะเมาะอ์ตะคีร โดย ดุฮ์รีรวมกับอัสริ
เมื่อถึงเวลาอัสริ ให้ละหมาดอัสริ 2 ร่อกะอัต โดยเนียตว่า
การละหมาดวันศุกร์  (ความสำคัญ - ผลบุญ)
อ่านว่า " อุซ้อลลี ฟัรด็อลอัสริ ร๊อกอะไตนี่ ก็อซรอน มัจญ์ มูอันอิลัยฮีซดุฮ์รู่ อะดาอัน ลิ้ลลาฮี่ตะอาลา "
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูอัสริ 2 ร่อกะอัต โดยก้อซ้อรไมรวมกับดุฮ์ริ ในเวลา เพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา
เมื่อละหมาดเสร็จและให้สลามแล้ว จึงควรลุกขึ้นละหมาดดุฮ์ริต่อไปโดยเนียตว่า
" อุซ้อลลีฟัรด๊อลดุฮ์ริ ร๊อกอะไตนี่ ก๊อซรอน มัจญ์ มูอันอิลั้ลอัสรี่ อะดาอัน ลิ้ลลาฮี่ตะอาลา "
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูดุฮ์ริ 2 ร่อกะอัตโดยก้อซ้อรมารวมกับอัสริ ในเวลาเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา

หรือจะสลับกันก็ได้ โดยเมื่อถึงเวลาละหมาดอัสริ จะละหมาดดุฮ์ริก่อนแล้วละหมาดอัสริทีหลัง ส่วนการละหมาดมักริบมารวมกับอิซาในเวลาอิซานั้นก็ใช้วิธีเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อละหมาดและจำนวนร่อกะอัตของละหมาดมักริบเท่านั้น.

การละหมาดของคนที่เดินทางไกล

การละหมาดของคนที่เดินทางไกล

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ละหมาดเดินทางไกล
การละหมาดของผู้ที่เดินทางไกลนั้นมีบทบัญญัติให้ได้รับการผ่อนผันโดยลดจำนวนร่อกะอัต ของการละหมาดฟัรดูประจำวันชนิดที่มี 4 ร่อกะอัตลดลงเหลือ 2 ร่อกะอัต เราเรียกการละหมาดชนิดนี้ว่า “ ละหมาดก้อซ้อร์” (ละหมาดลดจำนวน) ส่วนละหมาดชนิดที่มีเพียง 3 หรือ 2 ร่อกะอัต จะละหมาดก้อซ้อร ไม่ได้
ผู้เดินทางไกลนอกจากได้รับการลดจำนวนรอกะอัตในละหมาดแล้วยังได้รับการผ่อนผันให้รวมละหมาดฟัรดู 2 เวลาที่ใกล้เคียงกันเอาไว้ในเวลาเดียวกันได้อีกด้วย เราเรียกว่าการละหมาดญะมาอะห์ (ละหมาดรวม)
>> 1. การละหมาดก้อซ้อร์
ผู้เดินทางที่จะละหมาดก้อซอร์ได้นั้น จะต้องมีเงื่อนไขหลายประการดังนี้
  1. การเดินทางไกลนี้ จะต้องเป็นการเดินทางที่มีวัตถุประสงค์ไม่ผิดศาสนบัญญัติ เช่น ไม่ใช่เดินทางเพื่อไปลักทรัพย์ของผู้อื่นฯลฯ
  2. ต้องเป็นการเดินทางไกล บางท่านว่าต้องมีระยะไม่น้อยกว่า 80 หรือ 90 กิโลเมตร
  3. การลดจำนวนร่อกะอัต (ก้อซ้อร์) นี้จะทำได้เฉพาะการละหมาดที่มี 4 ร่อกะอัต เท่านั้น
  4. การเนียตละหมาดก้อซอร์ ให้เนียตในขณะกล่าวตักบีร เริ่มละหมาด
  5. ห้ามละหมาดก้อซ้อร์โดยเป็นมะมูมของอีมามที่ไม่ได้ละหมาดก้อซ้อร์
การทำละหมาดก้อซ้อร์ ควรทำพร้อมกันไปกับการทำละหมาดญะเมาะอด้วย
>> 2. การละหมาดญะเมาะอ (ละหมาดรวม)
การละหมาดญะเมาะอ์ ซึ่งคนเดินทางไกลได้รับการผ่อนผันให้รวมเอาการละหมาดฟัรดู 2 เวลาเข้าด้วยกันนั้น อนุญาตให้รวมได้ 2 ชนิดคือ
รวมในเวลาแรก เรียกว่า ญะเมาะอ์ ตักดีม
รวมในเวลาหลัง เรียกว่า ญะเมาะอ์ ตะอ์คีร
แต่มีเงื่อนไขว่าละหมาดที่จะรวมกันได้นั้น คือละหมาดดุฮ์รีร่วมกับอัสริ และมักริบรวมกับอิซาเท่านั้น จะรวมกันโดยวิธีอื่นไม่ได้
>> 2.1 ญะเมาะฮ์ตั๊กดีม (การรวมในเวลาแรก)
มีเงื่อนไขดังนี้

  1. ต้องเนียตว่าเอาละหมาดอัสริมารวมกับดุฮริ หรือเอาอิซามารวมกับมักริบ
  2. ต้องละหมาดดุฮ์ริก่อนอัสริในเวลาดุฮ์ริ หรือละหมาดมักริบก่อนอิซาในเวลามักริบ
  3. การต้องละหมาดที่รวมกันระหว่างละหมาดแรกกับละหมาดหลัง อย่าให้ทิ้งห่างกันนานนัก
  4. กาเดินทางไกลต้องยังไม่ถึงจุดหมายก่อนที่จะตักบีร ละหมาดหลัง

ละหมาดยุมอะฮฺ (วันศุกร์)

ละหมาดยุมอะฮฺ (วันศุกร์)
          ก่อนที่ผู้เขียนจะบอกกฎเกณฑ์และวิธีการละหมาดยุมอะฮฺ ผู้เขียนขอกล่าวถึงความสำคัญของวันศุกร์ ให้ผู้อ่านได้ทราบก่อน พอเป็นสังเขป ตามที่ผู้เขียนพอจะรู้
การละหมาดวันศุกร์  (ความสำคัญ - ผลบุญ)


          วันศุกร์เป็นประมุขของวัน ยิ่งใหญ่กว่าวันอีดิลนะฮ์ริและอีดิลฟิตริเสียอีก เพราะอัลลอฮฺได้สร้างนบีอาดัม ท่านนบีอาดัมถูกขับจากสวรรค์สู่พื้นดิน ท่านนบีอาดัมมรณภาพ ในวันนั้น และในวันศุกร์ ปรภพจะอุบัติขึ้น  ดังอัลหะดิษได้กล่าวไว้ ความว่า 
"ประมุขแห่งวันทั้งหลาย ณ อัลลอฮฺ คือ วันศุกร์ 
ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าวันอีดิลนะฮ์ริ และอีดิลฟิตริเสียอีก
ในวันศุกร์นั้นมี (ความประเสริฐกว่า) ห้าประการ
คือ อัลลอฮฺสร้างนบีอาดัมในวันนั้น
ท่านนบีอาดัมถูกขับจากสวรรค์
สู่พื้นดิน ก็วันนั้น ท่านนบีอาดัมมรณภาพวันนั้น
และในวันศุกร์มีชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าข้าทาสคนใด
จะขอต่ออัลลอฮฺสิ่งใดๆ ก็ตาม
นอกจากอัลลอฮฺจักทรงประทานแก่เขา
ตามที่เขาขอเสมอ ทั้งนี้ ตราบที่เขาไม่ขอสิ่งที่เป็นบาป
หรือ ในการตัดไมตรี  วันศุกร์ เป็นวันที่ปรภพจะอุบัติขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นมลาอิกะฮฺ ผู้ใกล้ชิด(ต่ออัลลอฮฺ) ไม่ว่าชั้นฟ้า
ไม่ว่าแผ่นดิน ไม่ว่าลม ไม่ว่าภูเขา ไม่ว่าก้อนหิน
นอกจากว่าทุกๆ สิ่งเหล่านั้น มีความฝักใฝ่ในวันศุกร์ทั้งสิ้น"
รายงานโดย อัชชาฟีอีย์, อะหมัด, บุคอรีย์ จาก สะอีด บินอุบาดะฮฺ
"ศุกร์หนึ่งถึงศุกร์หนึ่งนั้น
เป็นสิ่งนิรโทษ (แก่ผู้กระทำละหมาดวันศุกร์)
ในช่วงเวลาระหว่างมันทั้งสอง
ทั้งนี้ ตราบเท่าที่ไม่มีการทำบาปใหญ่ๆ"
รายงานโดย อิบนุมายะฮฺ จาก อะบีฮุรอยเราะฮฺ
การละหมาดวันศุกร์ เป็นการบังคับแก่ผู้ที่ได้ยินเสียงอะซาน"
รายงานโดย อิบนิมายะฮฺ จาก อิบนิอุมัร
" การละหมาดวันศุกร์ เป็นหน้าที่อันจำเป็นแก่บุคคลที่เวลากลางคืน
ทำให้เขากลับสู่ครอบครัวของเขาทัน"
(คือเขาสามารถเดินทางกลับสู่ครอบครัวของเขาโดยไม่ทันค่ำ)
รายงานโดย อัตติรมีซีย์ จาก อะบีฮุรอยเราะฮฺ
"หน้าที่ที่อัลลอฮฺบังคับแก่ทุกคนที่เป็นมุสลิม
คือ เขาจะต้องอาบน้ำทุกๆ เจ็ดวัน ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งที่เขาต้องล้างศีรษะและร่างกายของเขา
(ทั้งหมด วันนั้น คือ วันศุกร์)"
รายงานโดย อัลบุคอรีย์ มุสลิม จาก อะบีฮุรอยเราะฮฺ
"เป็นหน้าที่ของผู้ (อยู่ในวัย) ฝันทุกคน ต้องไปวันศุกร์
และเป็นหน้าที่ของผู้ไปวันศุกร์ทุกคน ต้องอาบน้ำ"
รายงานโดย อะบูดาวุด จาก ฮับเซาะฮฺ
"เป็นหน้าที่ของบุรุษมุสลิมทุกคน ในทุก ๆ เจ็ดวัน
จะต้องมีการอาบน้ำหนึ่งวัน นั่นคือ วันศุกร์"
รายงานโดย อะหมัด และท่านอื่นๆ จาก ยาบิร
"แท้จริงการอาบน้ำในวันศุกร์
จะทำให้ความผิดต่างๆ ไหลออกจากโคนผมอย่างแท้จริง"
รายงานโดย อัตตอบะรอนีย์ จาก อะบีอุมามะฮฺ
"แท้จริงในวันศุกร์มีอยู่ชั่วโมงหนึ่ง ไม่ว่าบ่าวมุสลิมคนใด
ได้ประจวบกับมันเข้าพอดี โดยขณะนั้นเขากำลังยืนทำละหมาด
ด้วยการวอนขอสิ่งดีงามต่ออัลลอฮฺในชั่วโมงนั้น
นอกจากว่าพระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นแก่เขาอย่างแน่นอน"
รายงานโดย มาลิก จาก อะบีฮุรอยเราะฮ
"วันที่ดีที่สุดที่ตะวันได้ขึ้น คือ วันศุกร์
ในวันนั้นนบีอาดัมได้ถูกสร้าง ในวันนั้นนบีอาดัมถูกขับ (จากสวรรค์)
ในวันนั้นเขาได้รับการเตาบะฮฺตัว (จากอัลลอฮฺ)
ในวันนั้นเขาถูกเก็บตัว (เสียชีวิต) และในวันศุกร์ ปรภพจะอุบัติขึ้น
ไม่ว่าสัตว์ใดในหน้าแผ่นดินนี้ นอกจากเมื่อถึงวันศุกร์
จะเงียบสดับฟังจนกว่าตะวันขึ้น
เพราะความกลัวว่าวันปรภพจะอุบัติขึ้น
ยกเว้นมนุษย์เท่านั้น (ที่ไม่ได้ทำและไม่รู้สึกเช่นนั้น)
และในวันศุกร์มีอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่ว่าบ่าวมุสลิมคนใดก็ตาม
ที่ประจวบกับมัน โดยที่เขากำลังทำละหมาดอยู่
เขาขอต่ออัลลอฮฺแก่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
นอกจากอัลลอฮฺจะประทานสิ่งนั้นแก่เขาอย่างแน่นอน"
รายงานโดย มาลิก และท่านอื่นๆ จาก อะบีฮุรอยเราะฮฺ
"คุตบะฮฺทุกคุตบะฮฺที่ไม่มีการปฏิญาณตน
มันเป็นประหนึ่งมือด้วนนั่นเอง"
รายงานโดย อะบูดาวุด จาก อะบีฮุรอยเราะฮฺ
"ไม่มีละหมาดใดๆ จากบรรดาละหมาดทั้งหลาย
ที่จะได้ผลเลิศกว่าการละหมาดซุบฮิในวันศุกร์
โดยทำรวมกันเป็นคณะ
และฉันไม่คิดว่าใครในหมู่พวกท่านได้มาสู่ละหมาดนั้น
นอกจากเขาจะต้องได้รับการอภัยอย่างแน่นอน"
รายงานโดย อัลฮากิม, อัตตอบะรอนีย์
"ผู้ใดมาวันศุกร์ โดยในขณะนั้นอีหม่ามกำลังแสดงธรรมกถา
แน่นอนวันศุกร์นั้นจะเป็นซุฮุรสำหรับเขา"
(ไม่ถือว่าเป็นละหมาดวันศุกร์ที่สมบูรณ์)
รายงานโดย อิบนุอะซากิร จาก อัมริบนิลอ๊าศ
"บุคคลใดทิ้งสามวันศุกร์ โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย
เขาจะถูกบันทึกไว้ให้เป็นหนึ่งจากบรรดาพวกตลบแตลง"
รายงานโดย อัตตอบะรอนีย์ จาก อุซามะฮฺ บินซัยต์
การละหมาดวันศุกร์ 
การละหมาดวันศุกร์ เป็นฟัรดูที่จำเป็นเฉพาะผู้ชายมุสลิมทุกคนที่เป็นอิสระ ไม่ใช่ทาส ซึ่งบรรลุนิติภาวะพร้อมทั้งมัสติสัมปชัญญะรู้สึกรับผิดชอบ ซึ่งไม่มี กรอุปสรรคจำเป็นใดๆมาขัดขวาง เช่น การป่วยไข้ ฯลฯ การละหมาดวันศุกร์ เป็นการละหมาด บัร ยะ มา อะห์ (ละหมาดรวม) มี 2 ร่อกะอั๊ต โดยถือเอาสองคุตบะห์แทนสองร่อกะอั๊ต กำหนดเวลาละหมาดวันศุกร์ นับแต่เวลา พระอาทิตย์คล้อย จนถึงเงาของสิ่งหนึ่งเท่าตัวของมัน สุนัตให้อ่าน อุซ็อลลีดังนี้

การละหมาดวันศุกร์  (ความสำคัญ - ผลบุญ)

อ่านว่า " อุซ็อลลี ฟัรด็อลญุมุอะติ ร๊อกอะไตนิ มะอ์มูมันลิ้ลลาฮิตะอาลา "

ต้องนึกในใจว่า ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูญุมอะห์ 2 ร่อกะอั๊ต เป็นมะอ์มูมเพื่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา

ข้อชี้ขาดเรื่องเวลาละหมาดของแต่ละประเภท

ข้อชี้ขาดเรื่องเวลาละหมาดของแต่ละประเภท    ประเภทที่หนึ่ง  ต้องละหมาดตามเวลาที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ประเภทที่สาม  ต้องใช้การคำ...